ระบบ Admissions ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ ทำให้การสอบเข้ามหาวิทยาลัยต้องมีการวางแผนการสอบ
เพราะปัจจุบันเส้นทางในการเข้าสู่มหาวิทยาลัยมีหลากหลาย ทั้งการรับตรง สอบตรง ซึ่งมีมากถึง
70% ส่วนพื้นที่ของการ Admissions เหลือเพียง
30% เท่านั้น...
มหาวิทยาลัยในประเทศไทยมี 226 แห่ง 2000 สาขาวิชา นักศึกษาปริญญาตรี 1,800,000 คนและบัณฑิตศึกษา 300,000 คน อัตราคนจบปริญญาตรีแล้วว่างงาน มีจำนวนมากถึง 300,000คน และยังมีผู้ที่ได้งาน ทำงานต่ำกว่าวุฒิอีกจำนวนมาก และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ทำให้ต้องมีการวางแผน เตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยของเด็ก ม.6
ดังนั้น การเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับการสอบตรง รับตรงที่ปัจจุบันมีพื้นที่สูงถึง 70% นั้น นักเรียน ต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจกับระบบของการรับตรง ซึ่งมี 2 แบบ คือผ่านระบบ Clearing House และ ไม่ผ่านระบบ Clearing House โดย สอท. แบ่งการการคัดเลือกการสอบเข้าของมหาวิทยาลัยออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมเคลียริ่งเฮ้าส์
ในกลุ่มนี้มหาวิทยาลัยอาจจะจัดสอบเอง ใช้ข้อสอบวิขาสามัญ 7 วิชา จาก สทศ. เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือก ซึ่งขึ้นอยู่กับระเบียบการของแต่ละคณะแต่ละมหาวิทยาลัย สิ่งสำคัญคือ โครงการรับตรงในกลุ่มนี้ จะส่งรายชื่อนักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกทั้งหมดเข้าสู่ศูนย์ประสานการรับตรง หรือ เคลียร์ริ่งเฮาส์ ซึ่ง จะต้องยื่นยันสิทธิ์การเข้าศึกษา หรือเลือกคณะที่ตนเองต้องการในช่วงเวลาที่กำหนดพร้อมกัน หมายความว่า ผู้ที่มีรายชื่อผ่านการสอบข้อเขียน หรือการสอบสัมภาษณ์แล้ว ยังไม่ได้มีสิทธ์เป็นนักศึกษาทันที แต่ต้องยื่นยันสิทธิ์เลือกครั้งสุดท้าย ผ่านเคลียริ่งเฮาส์ ก่อน หากไม่มีการยืนยันสิทธิ์ในช่วงเวลาที่กำหนด จะถือว่าสละสิทธิ์ในทุกๆ โครงการ
2. กลุ่มมหาวิทยาลัยที่ไม่เข้าร่วมเคลียริ่งเฮาส์
เป็นโครงการรับตรงที่มหาวิทยาลัยดำเนินการเปิดรับเอง โดยการสอบข้อเขียน สอบสัมภาษณ์ ขึ้นอยู่กับระเบียบการของแต่ละมหาวิทยาลัย เมื่อนักเรียนผ่านการคัดเลือกแล้ว ต้องดำเนินการยืนยันสิทธิ์ที่จะเข้าศึกษากับทางมหาวิทยาลัยก่อน จึงจะเป็นผู้มีสิทธิ์เป็นนักศึกษาได้จริง แต่อย่างไรก็ตามระบบนี้ยังเปิดโอกาสให้น้องๆ สามารถยื่นสละสิทธิ์ได้หากเปลี่ยนใจภายหลัง แต่ต้องยื่นในระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น เพราะ มหาวิทยาลัยจะต้องส่งรายชื่อนักเรียนที่ยืนยันสิทธิ์แล้ว เพื่อทำการตัดสิทธิ์ ในระบบ Admission ต่อไปนั่นเอง สิ่งที่สำคัญของการรับตรงกลุ่มนี้ หลังจากการประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกแล้ว จะต้องยื่นยันสิทธิ์กับทางมหาวิทยาลัย ภายในกำหนด และหากเปลี่ยนใจก็ต้องยื่นสละสิทธิ์ภายในช่วงเวลาที่กำหนดเช่นกัน ทั้งนี้จะมีบางโครงการที่ตัดสิทธิ์ระบบAdmission ทันทีที่ยืนยันสิทธิ์ ฉะนั้น ต้องระมัดระวังและอ่านทำความเข้าใจในระเบียบของแต่ละโครงการให้รอบคอบ
มหาวิทยาลัยในประเทศไทยมี 226 แห่ง 2000 สาขาวิชา นักศึกษาปริญญาตรี 1,800,000 คนและบัณฑิตศึกษา 300,000 คน อัตราคนจบปริญญาตรีแล้วว่างงาน มีจำนวนมากถึง 300,000คน และยังมีผู้ที่ได้งาน ทำงานต่ำกว่าวุฒิอีกจำนวนมาก และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ทำให้ต้องมีการวางแผน เตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยของเด็ก ม.6
ดังนั้น การเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับการสอบตรง รับตรงที่ปัจจุบันมีพื้นที่สูงถึง 70% นั้น นักเรียน ต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจกับระบบของการรับตรง ซึ่งมี 2 แบบ คือผ่านระบบ Clearing House และ ไม่ผ่านระบบ Clearing House โดย สอท. แบ่งการการคัดเลือกการสอบเข้าของมหาวิทยาลัยออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมเคลียริ่งเฮ้าส์
ในกลุ่มนี้มหาวิทยาลัยอาจจะจัดสอบเอง ใช้ข้อสอบวิขาสามัญ 7 วิชา จาก สทศ. เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือก ซึ่งขึ้นอยู่กับระเบียบการของแต่ละคณะแต่ละมหาวิทยาลัย สิ่งสำคัญคือ โครงการรับตรงในกลุ่มนี้ จะส่งรายชื่อนักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกทั้งหมดเข้าสู่ศูนย์ประสานการรับตรง หรือ เคลียร์ริ่งเฮาส์ ซึ่ง จะต้องยื่นยันสิทธิ์การเข้าศึกษา หรือเลือกคณะที่ตนเองต้องการในช่วงเวลาที่กำหนดพร้อมกัน หมายความว่า ผู้ที่มีรายชื่อผ่านการสอบข้อเขียน หรือการสอบสัมภาษณ์แล้ว ยังไม่ได้มีสิทธ์เป็นนักศึกษาทันที แต่ต้องยื่นยันสิทธิ์เลือกครั้งสุดท้าย ผ่านเคลียริ่งเฮาส์ ก่อน หากไม่มีการยืนยันสิทธิ์ในช่วงเวลาที่กำหนด จะถือว่าสละสิทธิ์ในทุกๆ โครงการ
2. กลุ่มมหาวิทยาลัยที่ไม่เข้าร่วมเคลียริ่งเฮาส์
เป็นโครงการรับตรงที่มหาวิทยาลัยดำเนินการเปิดรับเอง โดยการสอบข้อเขียน สอบสัมภาษณ์ ขึ้นอยู่กับระเบียบการของแต่ละมหาวิทยาลัย เมื่อนักเรียนผ่านการคัดเลือกแล้ว ต้องดำเนินการยืนยันสิทธิ์ที่จะเข้าศึกษากับทางมหาวิทยาลัยก่อน จึงจะเป็นผู้มีสิทธิ์เป็นนักศึกษาได้จริง แต่อย่างไรก็ตามระบบนี้ยังเปิดโอกาสให้น้องๆ สามารถยื่นสละสิทธิ์ได้หากเปลี่ยนใจภายหลัง แต่ต้องยื่นในระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น เพราะ มหาวิทยาลัยจะต้องส่งรายชื่อนักเรียนที่ยืนยันสิทธิ์แล้ว เพื่อทำการตัดสิทธิ์ ในระบบ Admission ต่อไปนั่นเอง สิ่งที่สำคัญของการรับตรงกลุ่มนี้ หลังจากการประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกแล้ว จะต้องยื่นยันสิทธิ์กับทางมหาวิทยาลัย ภายในกำหนด และหากเปลี่ยนใจก็ต้องยื่นสละสิทธิ์ภายในช่วงเวลาที่กำหนดเช่นกัน ทั้งนี้จะมีบางโครงการที่ตัดสิทธิ์ระบบAdmission ทันทีที่ยืนยันสิทธิ์ ฉะนั้น ต้องระมัดระวังและอ่านทำความเข้าใจในระเบียบของแต่ละโครงการให้รอบคอบ
1
ระบบสอบตรง
เป็นระบบการคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา
โดยทางมหาวิทยาลัยต่างๆเป็นคนกำหนด ทั้ง
- คุณสมบัติต่างๆ เช่น เกรดเฉลี่ยสะสม 4 หรือ 5 ภาคเรียน ( ม.4 เทอม1 - ม. 5 เทอม1)
- คุณสมบัติเฉพาะ เช่น รางวัลต่างๆที่ ได้รับ ใบประกาศต่างๆ ผลงาน หรือรางวัลที่นักเรียนได้รับมา
ระบบสอบตรงนี้ทางมหาวิทยาลัยจะเป็นผู้ออกข้อสอบเองทั้งหมด
หมายเหตุ : - นักเรียนที่สนใจที่จะสมัครสอบตรงจะต้องผ่านคุณสมบัติทุกข้อที่ทางมหาวิทยาลัยเป็นคนกำหนดถึงจะสมัครสอบได้
- ส่วนใหญ่แล้วถ้านักเรียนสอบระบบสอบตรงติดแล้วทางสทศ.จะทำการตัดสิทธิ์ในการADMISSION กลาง
- คุณสมบัติต่างๆ เช่น เกรดเฉลี่ยสะสม 4 หรือ 5 ภาคเรียน ( ม.4 เทอม1 - ม. 5 เทอม1)
- คุณสมบัติเฉพาะ เช่น รางวัลต่างๆที่ ได้รับ ใบประกาศต่างๆ ผลงาน หรือรางวัลที่นักเรียนได้รับมา
ระบบสอบตรงนี้ทางมหาวิทยาลัยจะเป็นผู้ออกข้อสอบเองทั้งหมด
หมายเหตุ : - นักเรียนที่สนใจที่จะสมัครสอบตรงจะต้องผ่านคุณสมบัติทุกข้อที่ทางมหาวิทยาลัยเป็นคนกำหนดถึงจะสมัครสอบได้
- ส่วนใหญ่แล้วถ้านักเรียนสอบระบบสอบตรงติดแล้วทางสทศ.จะทำการตัดสิทธิ์ในการADMISSION กลาง
2
ระบบรับตรง
- เป็นระบบการคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา
โดยทางมหาวิทยาลัยต่างๆเป็นคนกำหนด ทั้ง
- คุณสมบัติต่างๆ เช่น เกรดเฉลี่ยสะสม 4 หรือ 5 ภาคเรียน ( ม.4 เทอม1 - ม. 5 เทอม1)
- คุณสมบัติเฉพาะ เช่น รางวัลต่างๆที่ ได้รับ ใบประกาศต่างๆ ผลงาน หรือรางวัลที่นักเรียนได้รับมา
ระบบรับตรงนี้ทางมหาวิทยาลัยจะเป็นไม่ได้เป็นผู้ออกข้อสอบเองแต่จะกำหนดในการยืนคะแนนอย่างอื่นแทนการสอบ เช่น ใช้คะแนน GAT/PAT รอบที่ 1 ในการยื่นคะแนน หรือ ใช้คะแนนของ7วิชาสามัญในการยื่นคะแนน เพื่อเป็นการทดสอบว่านักเรียนจะได้เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยที่นักเรียนสนใจหรือไม่
หมายเหตุ : - นักเรียนที่สนใจที่จะสมัครรับตรงจะต้องผ่านคุณสมบัติทุกข้อที่ทางมหาวิทยาลัยเป็นคนกำหนดถึงจะสมัครสอบได้
- ส่วนใหญ่แล้วถ้านักเรียนติดระบบรับตรงติดแล้วทางสทศ.จะทำการตัดสิทธิ์ในการADMISSION กลาง - ในการยื่นคะแนต่างๆจะมีเปอร์เซนต์ในแต่ละคณะ และแต่ละมหาวิทยาลัยไม่เท่ากัน เช่น คณะวิศวะกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ใช้คะแนน Gat 25% Pat 1 25% และ Pat3 50 % เป็นต้
- คุณสมบัติต่างๆ เช่น เกรดเฉลี่ยสะสม 4 หรือ 5 ภาคเรียน ( ม.4 เทอม1 - ม. 5 เทอม1)
- คุณสมบัติเฉพาะ เช่น รางวัลต่างๆที่ ได้รับ ใบประกาศต่างๆ ผลงาน หรือรางวัลที่นักเรียนได้รับมา
ระบบรับตรงนี้ทางมหาวิทยาลัยจะเป็นไม่ได้เป็นผู้ออกข้อสอบเองแต่จะกำหนดในการยืนคะแนนอย่างอื่นแทนการสอบ เช่น ใช้คะแนน GAT/PAT รอบที่ 1 ในการยื่นคะแนน หรือ ใช้คะแนนของ7วิชาสามัญในการยื่นคะแนน เพื่อเป็นการทดสอบว่านักเรียนจะได้เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยที่นักเรียนสนใจหรือไม่
หมายเหตุ : - นักเรียนที่สนใจที่จะสมัครรับตรงจะต้องผ่านคุณสมบัติทุกข้อที่ทางมหาวิทยาลัยเป็นคนกำหนดถึงจะสมัครสอบได้
- ส่วนใหญ่แล้วถ้านักเรียนติดระบบรับตรงติดแล้วทางสทศ.จะทำการตัดสิทธิ์ในการADMISSION กลาง - ในการยื่นคะแนต่างๆจะมีเปอร์เซนต์ในแต่ละคณะ และแต่ละมหาวิทยาลัยไม่เท่ากัน เช่น คณะวิศวะกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ใช้คะแนน Gat 25% Pat 1 25% และ Pat3 50 % เป็นต้
การเตรียมความพร้อมและเทคนิคในการสอบตรง
และการรับตรง
การสอบตรงในปัจจุบันประกอบด้วย
3
รูปแบบหลัก (แต่ละมหาวิทยาลัยไม่เหมือนกัน)
แบบที่ 1 ผ่านคุณสมบัติ -> สอบข้อเขียน ->
สอบสัมภาษณ์ + ดู Portfolio
แบบที่ 2 ผ่านคุณสมบัติ -> สอบข้อเขียน +
GAT-PAT รอบที่ 1 -> สอบสัมภาษณ์ + ดู Portfolio(บางที่อาจจะใช้ 7 วิชาสามัญด้วย)
แบบที่ 3 ผ่านคุณสมบัติ -> สอบสัมภาษณ์ +
ดู Portfolio
คุณสมบัติ
ในการสอบตรง
และรับตรงมหาวิทยาลัยจะพิจารณานักเรียนที่มีคุณสมบัติและความสามารถตรงกับความต้องการของคณะ/สาขา เพื่อที่นักเรียนจะสามารถประสบความสำเร็จในการเรียนและการทำงานต่อไป
การสอบข้อเขียน
ข้อสอบในการสอบตรงของแต่ละมหาวิทยาลัยนั้น
จะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับว่าโครงการนั้นต้องการนักเรียนที่มีความสามารถด้านใด
เช่น สอบตรงนิติ มธ. ต้องการนักเรียนที่มีความสนใจด้านกฎหมายและมีความสามารถในการจับใจความ
ข้อสอบก็จะออกเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายเบื้องต้นและการเขียนเรียงความ ย่อความ
ดังนั้นนักเรียนที่จะเตรียมพร้อมกับการสอบตรง โดยหาข้อมูลเกี่ยวกับคณะ/สาขานั้น ว่าต้องการนักเรียนที่มีความสามารถด้านใดบ้าง
และศึกษาแนวข้อสอบตรงของคณะ/ สาขานั้นๆ
เพื่อจะได้เตรียมพร้อมก่อนการสอบ
การสอบสัมภาษณ์
การสอบสัมภาษณ์มีส่วนสำคัญอย่างมากในการคัดเลือก
นักเรียนที่ผ่านคุณสมบัติและผ่านการสอบข้อเขียน
จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนการสอบสัมภาษณ์
โดยส่วนมากจะเป็นลักษณะการสอบสัมภาษณ์ทางวิชาการ
และการสอบสัมภาษณ์เพื่อประเมินความพร้อมและความสนใจในคณะ/สาขา มหาวิทยาลัยนั้นๆ
การสอบสัมภาษณ์ทางวิชาการ
จะเป็นการถามตอบเชิงวิชาการ ลักษณะข้อสอบเหมือนกับข้อสอบอัตนัย
โดยข้อสอบจะเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับเรื่องที่เป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย
ยกตัวอย่าง การสอบสัมภาษณ์ทางวิชาการของคณะ/สาขาด้านคอมพิวเตอร์
“ช่วยอธิบายความหมายคำว่า OS ให้ฟังหน่อยซิครับ”
หรือ การสอบสัมภาษณ์ทางวิชาการของคณะ/สาขาด้านภูมิศาสตร์
“พายุไซโคลน หมายถึงอะไร” การสอบแบบนี้นักเรียนที่มีความชอบและถนัดในด้านนั้นอยู่แล้วจะสามารถสอบผ่านได้โดยไม่ยาก
นักเรียนจะต้องเตรียมพร้อมโดยศึกษารายละเอียดรายวิชาที่ต้องเรียนของคณะ/สาขานั้น และศึกษาเนื้อหาล่วงหน้าในเรื่องที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อ
ก็จะช่วยให้มีนักเรียนความมั่นใจและสามารถตอบคำถามได้
การสอบสัมภาษณ์เพื่อประเมินความพร้อมและความสนใจ
จะเป็นการสอบเพื่อวัดความพร้อมและความสนใจของนักเรียน
ว่ามีความสนใจที่จะเข้าเรียนมากน้อยเพียงใด
คำถามที่มักจะพบบ่อยเช่น “วันนี้คุณมาทำอะไร?” “ทราบหรือไม่ว่าคณะนี้เรียนเกี่ยวกับอะไร?”
หรือ คำถามที่เกี่ยวกับสาขานั้น เช่น “สังคมสงเคราะห์ในคำคิดของคุณหมายความว่าอย่างไร”
เป็นคำถามที่ไม่ยากแต่จะต้องเตรียมตัว โดยศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับคณะ/สาขานั้น ก่อนที่จะสอบสัมภาษณ์
Portfolio
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญและนักเรียนจะต้องเตรียมไปในวันสอบสัมภาษณ์คือ
แฟ้มสะสมผลงาน หรือ Portfolio
ซึ่งจะเป็นส่วนจะช่วยให้คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกได้ง่ายยิ่งขึ้น Portfolioที่ดีจะต้องบ่งบอกความเป็นตัวของตัวเอง
“คุณภาพสำคัญกว่าปริมาณ” ไม่จำเป็นต้องนำผลงานทุกอย่างลงในแฟ้ม
แต่จะต้องเป็นผลงานที่เกี่ยวข้องกับคณะ/สาขา
ที่เรากำลังจะไปสัมภาษณ์จึงจะดีที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น